บทเพลงที่ผมชื่นชอบที่สุดทั้งท่วงทำนอง เนื้อเพลง รวมไปถึงชื่อเพลง ก็คือเพลง ‘แสงเทียน’
///...จุดเทียนบวงสรวงปวงเทพเจ้า
สวดมนต์ค่ำเช้าถึงคราวระทมทน
โอ้ชีวิตหนอล้วนรอความตายทุกคน
หลีกไปไม่พ้นทุกข์ทนอาทรร้อนใจ
ต่างคนเกิดแล้วตายไป
ชดใช้เวรกรรมจากจร
นิจจังสังขารนั้นไม่เที่ยงเสี่ยงบุญกรรม
ทุกคนเคยทำกรรมไว้ก่อน
เชิญปวงเทวดาข้าไหว้วอน
ขอพรคุ้มไปชีวิตหน้า
ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา
หนีปวงโรคาที่เบียดเบียน
แสงแววชีวาเปรียบแสงเทียน...///
*คำร้องโดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักร
สิ่งที่มีเสน่ห์ที่สุดของเพลงนี้คือเป็นเพลงที่กล่าวถึงสิ่งที่ผู้คนหวาดกลัวอย่างความตายได้อย่างสง่างามอย่างยิ่ง ท่วงทำนองมิได้เต็มไปด้วยความทุกข์โศก หากกลับพริ้วเพริศเรืองรองเหมือนแสงสีทองของแสงเทียนในความมืดที่เต้นเร่าล้อเล่นไปกับความจริงของชีวิต
แน่ล่ะ, ไม่มีใครหนีความจริงข้อนี้ไปได้พ้น แต่ความจริงนี้ก็มิได้ชวนทุกข์ตรมให้หวนไห้ถึงเพียงนั้น ตรงกันข้าม, หากใครสักคนได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและความหมายสมกับที่ได้เกิดมาแล้ว เมื่อถึงห้วงยามนั้นก็นับว่าเป็นเทียนที่ส่องสว่างอย่างน่าภาคภูมิแล้ว ดังเช่นที่เพลงพระราชนิพนธ์เพลงนี้ได้สะกิดเตือนไว้ในท่อนท้าย
...
///...ทำบุญทำทานกันไว้เถิดเกิดเป็นคน
ไว้เตรียมผจญชีวิตใหม่
เคยทำบุญทำคุณปางก่อนใด
ขอบุญคุ้มไปชีวิตหน้า
ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา
แสงเทียนบูชาจะดับพลัน
แสงเทียนบูชาดับลับไป...///
ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ผมได้รับแรงพลัง กำลังใจ คำตักเตือน และความหมายดีๆ ในการใช้ชีวิตมากมายจากเพลงที่ในหลวงรัชกาลที่เก้าทรงประพันธ์ท่วงทำนองขึ้นมา เชื่อเหลือเกินว่า คนไทยอีกเป็นจำนวนมากย่อมได้รับสิ่งเหล่านี้ผ่านท่วงทำนองอื่นที่มิได้เกิดขึ้นจากเครื่องดนตรีหรือโน้ตเพลงเท่านั้น หากเกิดจากพระราชกรณียกิจที่ทรงทำเพื่อราษฎรของพระองค์ ก่อเกิดเป็นท่วงทำนองกล่อมไทยในช่วงชีวิตของพวกเรา
สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้
---