ศาสนาคริสต์สายคาทอลิกมีประเพณีอย่างหนึ่งคือการสารภาพบาป (The Sacrament of Penance and Reconciliation)
หลายศาสนาตราการทำผิดว่าเป็นบาป แต่คริสต์เปิดทางสายที่สองให้ล้างบาปได้ผ่านพิธีในโบสถ์
คริสต์แบ่งบาปที่มนุษย์กระทำออกเป็นบาปหนัก (Mortal sin) เช่น ฆ่าคนตาย กับบาปเบา (Venial sin) เช่น พูดจาทำร้ายจิตใจคนอื่น ผู้ก่อบาปหนักจะต้องลงนรก แต่หากกลับใจ ก็เปิดโอกาสให้แก้ตัวออกจากกองไฟ
แม้แต่นรกก็มีทางหนีไฟ!
นรกหลังความตายเป็นเรื่องหนึ่ง แต่นรกในโลกปัจจุบันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง การสารภาพบาปจึงอาจจัดเป็นการบำบัดจิตอย่างหนึ่ง เพราะเมื่อได้ระบายออกไป ใจก็สบายขึ้น
เมื่อสารภาพบาปและรับการยกโทษผ่านบาทหลวงแล้ว ก็ขอบคุณพระเจ้า และสัญญาจะไม่ทำมันอีก
แต่การปลดปล่อยความรู้สึกผิดจากใจอาจยากกว่าแค่พูดกับบาทหลวง เหมือนผู้ต้องหาคดีอุฉกรรจ์พ้นคุกเพราะศาลยกฟ้อง แต่ยังติดคุกในใจไปตลอดชีวิต
คนที่มีระดับความรู้ผิดชอบชั่วดีสูงมักมีอาการรู้สึกผิดเนืองๆ เรื่องจบไปแล้วก็ยังรู้สึกผิด บางครั้งความรู้สึกผิดนี้คาใจเป็นเวลาหลายสิบปี บางครั้งมันก็มาหลอนในยามค่ำคืน สารภาพบาปไปแล้วก็ยังรู้สึกผิด บางครั้งผู้ถูกกระทำยกโทษให้แล้ว แต่ตัวเองยังไม่ยกโทษให้ตัวเอง
บางทีความรู้สึกที่แย่ที่สุดของมนุษย์คือไม่สามารถให้อภัยตัวเองนี่เอง
เราไม่รู้ว่ามีนรกหลังความตายหรือไม่ แต่เรารู้แน่ว่ามีนรกอยู่ในชาตินี้ เดี๋ยวนี้ มันอยู่ในใจของเรานี่เอง เมื่อปล่อยวางไม่ได้ ให้อภัยตัวเองไม่ได้ ก็คือนรก
การแก้ปัญหานี้ให้มองข้อเท็จจริงสองข้อ
1 เรื่องเกิดขึ้นแล้ว ไม่มีทางแก้ไขอีกแล้ว ยังไม่มียานเวลาพาเรากลับไปแก้ไขอดีต
2 การรู้สึกผิดเป็นการลงโทษในตัวมันเองแล้ว
ชีวิตก็เหมือนสมุดบัญชี ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุน ถ้าผ่านการตรวจสอบบัญชีแล้ว ก็ถือว่าจบแค่นั้น มิเช่นนั้นก็จะจมในเงามืดของอดีตไปนานแสนนาน
บทลงโทษคนทำผิดทางโลกยังมีการอภัยโทษ ทำไมเราไม่สามารถให้อภัยโทษหรือลดโทษให้ตัวเองบ้าง?
ฆาตกรองคุลิมาลยังสามารถปล่อยวาง เข้าสู่ร่มของความสงบทางจิต ทำไมคนที่ทำผิดน้อยกว่าจะทำเช่นนั้นไม่ได้?
หัดเรียนรู้ที่จะให้อภัยตัวเอง ปล่อยวางแล้วก้าวออกจากนรกในใจ ก้าวต่อไปตามทางสายที่สอง
นี่คือชีวิต ไม่มีใครไม่เคยทำผิดพลาด