บางทีผมคิดว่าผมเข้าใจศิลปะหรือการถ่ายภาพ แต่พออ่านบทความนี้แล้ว
ผมคิดว่า ผมไม่รู้อะไรเลย
ผมเติบโตมาจากการถ่ายภาพในยุคสมัยฟิล์ม การกดชัตเตอร์แต่ละครั้งนั้นมีความหมาย ที่หมายถึงเงินอย่างน้อย 5-10 บาท ที่เราจะต้องเสียไปกับค่าฟิล์มและค่า Process ฟิล์มใบนั้น
หนึ่งในคำถามที่ผมมักจะถามตัวเองอยู่เสมอตั้งแต่เริ่มต้นหัดถ่ายภาพก็คือ “ เราถ่ายภาพไปทำไม “
ผมเชื่อว่าคำถามนี้เป็นคำถามเปิดที่ไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง หรือ คำตอบที่ผิด หากแค่เรากลับมาย้อนคิดว่าเราถ่ายภาพไปทำไม ผมว่าแค่นั้นมันก็มีคุณค่าเพียงพอแล้ว
หลายวันก่อนมีเหตุบังเอิญให้ผมได้ไปอ่านใน Feed ของช่างภาพรุ่นใหม่ท่านหนึ่ง เนื้อหาที่เป็นประเด็นอันเผ็ดร้อนนั้นจบลงด้วยคำว่า ศิลปะไม่มีถูกไม่มีผิด มันขึ้นอยู่กับคนมอง
เรื่องจาก...นัท สุมนเตมีย์
จากประเด็นนั้นทำให้ผมย้อนกลับมามองงานของผมเองอีกครั้งหนึ่ง เชื่อไหมครับ ผมไม่เคยรู้สึกเลยว่า ตลอดเวลาที่ผมถ่ายภาพมา 20 กว่าปีนั้น ผมกำลังสร้างสรรค์งานศิลปะอยู่
ในมุมมองของคนที่ถ่ายภาพมา 20 กว่าปี ผมคิดว่างานภาพถ่ายทุกภาพไม่จำเป็นต้องใช้ ไม้บรรทัดของคำว่าศิลปะมาวัดคุณค่าของงานเสมอไป
จริงอยู่ ภาพถ่ายบางภาพ บางชิ้น อาจจะมีคุณค่าในเชิงศิลปะ หากไม่ใช่ภาพถ่ายทุกภาพบนโลกใบนี้นั้นจะช่วยจรรโลง กล่อมเกลา และยกระดับจิตใจของมนุษย์ในเชิงศิลปะได้
ผมกลับมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า คุณค่าของภาพถ่ายนั้นขึ้นอยู่กับการตีความ ภาพบางภาพที่ไม่มีคุณค่าความงดงามทางองค์ประกอบทางศิลปะใดใดเลยอาจจะเป็นภาพถ่ายที่มีคุณค่าในเชิงวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ โบราณคดี หรือแม้กระทั่งบันทึกของครอบครัว หรือเพื่อใช้ในการสื่อสาร ไม่ว่าจะสื่อสารว่า “นี่ไงรถยนตร์คันใหม่ของฉัน” “ นี่วันนี้ฉันกินอาหารหรูหราแบบนี้นะ” ไปจนถึงเรื่องราวที่ละเอียดอ่อนไปกว่านั้นเช่น “สงครามไม่ให้ผลดีกับใคร” หรือว่า “อิสรภาพนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์แสวงหา”
สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นและรู้สึกมาหลายปีแล้วก็คือทุกวันนี้เราถ่ายภาพกันมากขึ้น แต่เราให้ความสำคัญกับภาพเหล่านั้นน้อยลง ภาพบางภาพอาจจะเป็นแค่ขยะที่ถูกทิ้งไว้ใน Hard disk ของเราเพราะว่ามันไม่มีคุณค่าอะไร สิ่งที่เรามีอยู่เยอะ ยิ่งเยอะมากเท่าไร เราก็ยิ่งมองไม่เห็นคุณค่า และในบางครั้งเราก็ไม่มีแม้กระทั่งเวลาที่จะหันกลับมามองมัน
ย้อนหลังกลับไปเมื่อร้อยปีที่แล้ว ในชีวิตของคนบางคน อาจจะมีภาพถ่ายของตัวเองเพียงภาพเดียวเท่านั้นในชีวิต ลองจินตนาการนึกไปถึงภาพของทหารที่เข้าร่วมรบในสงครามแล้วมีภาพของลูกและเมียใส่ไว้ในกระเป๋าเพียงภาพเดียว หรือภาพของคุณปู่ที่ติดบนฝาบ้าน คุณค่าของภาพนั้นแตกต่างไปจากภาพที่เราเห็นกันเกลื่อน Social Media ที่ท่วมท้นไปด้วยภาพต่างๆที่ถาโถมเข้ามาใส่เราตลอดเวลาทุกวันนี้
ทุกวันนี้เรามีอุปกรณ์ไฮเทค เทคนิคแพรวพราว สามารถถ่ายภาพได้แม้กระทั่งในข้อจำกัดที่คนสมัยเมื่อ 50 กว่าปีก่อนนั้นไม่กล้าแม้แต่จะฝัน
แต่ทำไมเราถึงไม่มีภาพที่เป็นตัวแทนแห่งยุคสมัยของดิจิตอล ที่ติดอยู่ในความทรงจำของผมเลย
ภาพของคนเลี้ยงผึ้งและภาพหลายๆภาพที่เป็นภาพบุคคลบนฉากหลังสีขาวของ Richard Avadon ภาพแสงและเงาของ Man Ray ภาพคนกระโดดข้ามบันไดไม้ที่น้ำท่วมอยู่บนถนนและมีภาพของคนกระโดดใน Poster ที่ติดอยู่บนกำแพงของ Henri Catier Bresson ภาพทหารที่กำลังหลบกระสุนปืนลุยน้ำขึ้นไปบนหาดโอมาฮาของ Robert Capa ภาพเทือกเขาอันงดงามของ Yosemite National Park ของ Ansel Adams หรือแม้กระทั่งภาพ Afghan girl ของ Steve McCurry ภาพเหล่านี้ล้วนแต่เป็นตัวแทนของศตวรรษที่ผ่านมาทั้งสิ้น